ช่อฟ้าแบบโหง่
สัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมอีกรูปแบบที่แตกต่างจากช่อฟ้า หรือสัตบริภัณฑ์ ที่บรรยายไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่อฟ้าประเภทนี้เป็นองค์ประกอบอาคารทางพุทธศาสนา พระอุโบสถหรือวิหารในภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง เป็นส่วนใหญ่ ช่อฟ้าประเภทนี้มักจะมีลักษณะหรือสัญลักษณ์ของสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่ตั้งอยู่เชิงเขาพระสุเมรุหรือเขาไกรลาศ อันหมายถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่สถิตของบรรดาผู้วิเศษหรือผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้มีบุญ
เพราะฉะนั้นการเอารูปแบบบางส่วนของสัตว์ในหิมพานต์มาประดับไว้ตามตัวอาคาร จึงเป็นสัญลักษณ์ให้ตัวอาคารนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ พระพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วย คุณวิเศษ 3 ประการ คือ พุทธคุณ ปัญญาคุณ และ กรุณาคุณ ที่มีพระพุทธรูปอันเป็นสัญลักษณ์
ตามรูปตัวอย่าง จะเห็นว่าช่อฟ้าที่ประดับอยู่ในอาคารนี้มีหลายรูปแบบ ที่สำคัญตั้งแต่ในภาคเหนือตอนล่างลงมาตลอดภาคกลาง มักจะมีลักษณะคล้ายกัน เรียกว่า ช่อฟ้าแบบปากนก (บางทีเรียกปากครุฑก็มี) และ แบบปากปลา แบบปากนก หมายถึงหงส์และมีใบระกาและหางหงส์ที่ปลายล่างของหลังคา เป็นสัญลักษณ์ของหงส์ พาหนะของพระพรหม ถ้าเรียกว่าปากครุฑ ตัวเชิงชายปิดกระเบื้องมักจะทำเป็นตัวนาคสะดุ้ง (เพราะครุฑจะจับนาคหรืองูกินเป็นอาหาร) สัญลักษณ์ของครุฑก็คือพาหนะของพระนารายณ์ (ผู้คุ้มครองโลก)
ถ้าเป็นช่อฟ้าแบบปากปลา เป็นสัญ ลักษณ์ของพญานาค ตัวอาคารก็จะแปลเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คือเขาพระสุเมรุ อันหมายถึงศูนย์กลางของจักรวาล นอกจากนี้อาจจะมีช่อฟ้าในรูปแบบอื่นๆ เช่น เป็นรูปหัวช้าง ดังเช่น ช่อฟ้าวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ หมายถึงช้างศักดิ์สิทธิ์ในแดนหิมพานต์ ตัวอาคารนั้นก็หมายถึง เขาศักดิ์สิทธิ์ คือเขาไกรลาศ
ส่วนในภาคอีสาน ช่อฟ้าที่เรียกกันว่า โหง่ ก็คือหงอนของพญานาค สัญลักษณ์ตัวอาคารก็จะหมายถึงเช่นเดียวกับอาคารที่มีช่อฟ้าเป็นช่อฟ้าปากปลา คือ เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาลหรือเขาพระสุเมรุ ซึ่งตั้งอยู่โดยมีทะเลสันทันดรล้อมรอบอยู่
คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์ ข่าวสด